มาเรียนรู้ กันว่า MUST & HAVE TO คืออะไร ใครรู้แล้ว
ก็ถือว่าทบทวนความรู้กันไปนะคะ ^^
Must แปลว่า "ต้อง"
มักจะตามด้วย V1 (กริยาช่องที่ 1) เสมอ มีรูปเป็นปัจจุบัน และอนาคต
...Must
ใช้เมื่อ สิ่งที่คิดว่าเป็นจริง เป็นเหตุเป็นผล เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจ
หรือ แสดงถึงความเห็น ที่ผู้พูดเห็นด้วย
หรือ แสดงความจำเป็นที่ต้องกระทำ
หรือ ใช้ในการให้คำแนะนำหรือการสั่งตัวเอง และบุคคลอื่น
ตัวอย่างเช่น..
I
can't remember what I did with it. I must be getting old
ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้ว่าทำอะไรไปบ้าง ฉันต้องแก่ขึ้นแน่เลย>> เป็นเหตุผล เพราะคนแก่มักขี้ลืม
The
boy crying. He must be really sick.
เด็กกำลังร้องไห้ เขาต้องป่วยจริง แน่ๆ>> พอเห็นเด็กร้องไห้ ผู้พูดเลยแน่ใจ ว่าเขาป่วยจริงๆ
You
must come and see us sometime.
คุณต้องมาหาเราบ้าง บางครั้ง>> ผู้พูดอยากให้มาเยี่ยมบ้าง
I
must go to bed earlier.
ฉันต้องไปนอนแต่หัวค่ำ>> เห็นด้วยที่จะให้ตัวเองนอนเร็วขึ้น
You
must finish your homework on Sunday.
คุณต้องทำการบ้านของคุณให้เสร็จ ในวันอาทิตย์>> ต้องทำให้เสร็จภายในวันอาทิตย์ เพราะวันจันทร์ต้องไปเรียนแล้ว ));
Have
to ก็แปลว่า "ต้อง" เหมือนกัน
..Have
to
ใช้เมื่อ แสดงถึงเหตุผลที่ต้องทำในกิจกรรมที่สำคัญต่อหน้าที่ๆ
หนึ่ง
ตัวอย่างเช่น..
I
have to arrive at work at 9. My boss is very strict.
ต้องมาทำงานตอน 9 โมงเช้า เพราะเจ้านายดุ !!
>>
ต้องมา 9 โมง ไม่งั้นจะกระทบต่ออีกหน้าที่การงานได้
>,<
You
have to pass exams. otherwise the university will not accept you.
คุณต้องผ่านการสอบ ไม่อย่างนั้นมหาวิทยาลัยจะไม่รับคุณ
>>ต้องสอบผ่าน !! ไม่งั้นก็อดเข้ามหาลัยฯ
สำหรับในประโยคบอกเล่า Must กับ Have to (แปลว่า.. ต้อง) สามารถใช้แทนกันได้
ตัวอย่างเช่น...
I
must go.
I
have to go.
มีความหมายเหมือนกัน ว่า.. ฉันต้องไป
ความแตกต่างระหว่าง Must กับ Have to คือ..
Have
to สามารถทำให้อยู่ในรูป อดีต และอนาคตได้ แต่ Must ทำไม่ได้
Must
จะใช้กับปัจจุบันกาลอย่างเดียวเท่านั้น
ถ้าเป็นอนาคต จะใช้ will, shall + have to
แต่ ถ้า เป็นอดีต จะใช้ had to
เช่น.. I had to go. แปลว่า.. ฉันได้ไป (แล้ว)
*
กรณีที่จะกล่าวเรื่องราวในอดีต เรามักไม่ใช้ Must แต่จะใช้ had to แทน
Must
เป็นการคำสั่งที่มาจากความจำเป็นของบุคคลที่กำลังพูด หรือกำลังฟัง
เป็นการตัดสินใจของผู้พูดเอง
ส่วน Have to มักใช้เวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่าง
โดยที่ปัจจัยภายนอกบังคับให้ทำ
อาจจะเพราะกฎหมาย กฏระเบียบ หรือเป็นข้อตกลง
เช่น.. You must stop smoking.
คุณต้องหยุดสูบบุหรี่ !!
>>
เหตุผลคือ ฉันสั่ง !! (ความจำเป็นของฉัน ไร้เหตุผล ออกแนวบังคับ >.<"!!)
ฉันต้องหยุดสูบบุหรี่ เพราะฉันป่วย
>>
เหตุผลคือ ป่วยแล้วว หยุดสูบเถ๊อะะะ (เหตุผลจากร่างกาย
ในใจอาจจะยังไม่อยากเลิกสูบ >,<")
You
have to take off your shoes before going inside the temple.
คุณต้องถอดรองเท้า ก่อนที่จะเข้าไปภายในวัด
>>
เป็นกฎเกณฑ์ของวัดที่เราต้องทำตาม (ควรทำตาม
ไม่งั้นคุณอาจโดนหาว่าไม่มีมารยาทได้)
When
you go to the theater you have to off your mobile
เมื่อไหร่ที่คุณไปโรงหนัง คุณต้องปิดโทรศัพท์มือถือ
>>
เป็นกฎเกณฑ์ทางสังคม ที่เราควรทำ คือ
สังคมเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำ
Must
และ Have to ต่างก็แสดงความจำเป็นด้วยกันทั้งคู่
เช่น..
All
students must take an entrance exam.
All
students have to take an entrance.
ทั้ง 2 ประโยคนี้ แปลได้ว่า.. นักศึกษาทุกคนต้องผ่านการสอบเอ็นทรานซ์
>>
ไม่มีทางเลือกอื่นๆ เพราะเป็นการบังคับสอบ
Mustn't
กับ Don't have to ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
สำหรับ Mustn't กับ Don't have to จะมีความแตกต่างกัน
คือ.. Mustn't จะใช้กล่าวถึง ข้อห้าม สิ่งที่ห้ามทำ
ห้ามปฎิบัติ
ส่วน Don't have to จะใช้กล่าวถึง
สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ
เช่น..
You
mustn't ask Jeny. แปลว่า.. คุณต้องไม่ถามเจนี่
มีความหมายเดียวกันกับ Don't ask Jeny
>>
คือ อย่าถามเจนี่
You
don't have to read a this cartoon book. แปลว่า..
คุณไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือการ์ตูนนี้
มีความหมายเดียวกันกับ You can read if you like it, but it is not
necessary.
>>
คุณสามารถอ่านหนังสือนี้ได้ถ้าคุณต้องการ แต่มันไม่จำเป็น
*
สำหรับ Must / Have to + V1 (กริยาช่องที่ 1)
Must
เป็น Verb (กริยา)ช่วยอยู่แล้ว สามารถใช้ Musn't
ใน ป.ปฏิเสธได้เลย
ส่วน Have to เป็น Verb (กริยา)แท้
ถ้าจะใช้ในประโยคปฏิเสธ ต้องเอา Verb to do เข้ามาช่วย
เช่น..
You
must not read. (คุณต้องไม่อ่าน คือ ห้ามอ่าน !!)
You
don't have to read. (คุณไม่ต้องอ่าน คือ ไม่จำเป็นต้องอ่าน =
=")
การใช้ประโยคคำพูดที่แสดงความจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรานั้น
มักใช้ Have to มากกว่า Must โดยคำว่า Must อาจจะฟังดูแรงกว่า คำว่า Have
to ซึ่งจะชี้ถึงภาวะ เร่งด่วน หรือเน้นความสำคัญกว่า กล่าวคือ Have to จะดูไพเราะกว่านั่นเอง
Must
have + V3 (กริยาช่องที่ 3)
แปลว่า ต้อง....แน่ๆ เลย (เป็นการคาดการณ์เรื่องราวในอดีต)
เช่น...
He
must have seen us.
เขาต้องเห็นเราแล้วแน่ๆ เลย >.<"
I
must have done something wrong.
*
ข้อสังเกต seen และ done ต่างก็เป็น V3 (กริยาช่องที่ 3)
Must
ใช้บอกความจำเป็นสำหรับเหตุการณ์ในปัจจุบัน และอนาคต
แต่จะไม่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และจากการที่ Must ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย
จึงทำให้สามารถใช้ Must มาขึ้นหน้าประโยคเพื่อตั้งเป็นประโยคคำถามได้เลย
เช่น..
Must
you work so hard ?
คุณต้องทำงานอย่างหนักเพื่อ ??
Must
she go there before midnight ?
คุณจะต้องไปถึงที่นั่นก่อนเที่ยงคืนใช่มั้ย ??
แต่ถ้า Have to ก็จะใช้ Verb to do ขึ้นต้นประโยคคำถาม
เช่น..
Do
you have to leave now?
คุณจำเป็นต้องออกตอนนี้หรือไม่ ??
สรุป Have to คือ ควรทำ มันต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ
มันจะต้องเกิดปัญหาแก่คุณ
Must
คือ ต้องทำ มันมาจากความจำเป็นของผู้พูด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น